การกำหนดวันห้ามเครื่องดื่มแอลกอฮอล์



สำหรับประกาศกำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2552 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ที่ถูกยกเลิกไปนั้น ไม่มีการห้ามขายในวันออกพรรษา รวมทั้งยังมีการเปิดให้ขายในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม เพื่อเป็นการส่งเสริมนโยบายการท่องเที่ยวในประเทศไทยและกระตุ้นเศรษฐกิจของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

ทั้งนี้เพื่อรณรงค์ให้พุทธศาสนิกชนทุกคนร่วมกันตั้งสัจจะอธิษฐานรักษาศีล 5 งด-ลด-ละ-เลิกการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะในวันพระใหญ่ที่เป็นวันสำคัญพิเศษของชาวพุทธ ซึ่ง 1 ปี มีเพียง 5 วันเท่านั้น และช่วงตลอด 3 เดือนระหว่างฤดูเข้าพรรษา ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการที่จะเลิกการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเพื่อส่งเสริมค่านิยมที่ดีให้แก่สังคมไทย


จากข้อมูลข้างต้นเกิดข้อสงสัยว่าเพราะเหตุใดรัฐบาลจึงมีการกำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยนำเรื่องวันสำคัญทางพุทธศาสนามาเป็นเกี่ยวข้อง หากมองในมุมมองของมาร์กซิสต์อาจมองได้ว่า ศาสนาเปรียบเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองหรืออาจเรียกว่า “กลไกของรัฐ” (the state apparatus)  เพื่อใช้อำนาจในการปกครองชนชั้นอื่นๆได้อย่างกว้างขวางและครอบคลุมมากขึ้น โดยการควบคุมพลังในทางวัตถุ พลังในการผลิต รวมทั้งประเด็นทางความคิดและความเชื่อของผู้คนอีกด้วย

รัฐไทยเป็นรัฐที่มีความหลากหลายทางศาสนาฉะนั้นทุกศาสนาควรจะเท่าเทียมกันหมดค่าของมนุษย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับศาสนา การนับถือศาสนาเป็นเสรีภาพส่วนบุคคลซึ่งเป็นปัจเจก คนทุกคนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนาเป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่บังคับไม่ได้ และละเมิดเสรีภาพด้านนี้ของผู้อื่น แต่รัฐไทยรณรงค์ให้มีการงดขาย ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยังมีอีกหลายประเด็นเรื่องนโยบายและงบประมาณรัฐด้วย รัฐไทยจึงเป็นรัฐศาสนาแบบซ่อนรูป ในรัฐธรรมนูญมีการออกกฎหมายมาบังคับศาสนาอื่นที่ไม่ใช่พุทธ เหตุที่ระบอบประชาธิปไตยของไทยมีกฎหมายควบคุม บังคับใช้ ห้ามซื้อ ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงวันพระใหญ่เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวการหนึ่งของความไม่สงบเรียบร้อย  กฎหมายย่อมจัดการเรื่องนี้ให้อยู่ระเบียบอันดีงามของสังคม 

อีกทั้งหลักทางศาสนามันสอดคล้องกับหลักกฎหมายในเรื่องนี้ซึ่งคนส่วนมากในสังคมมีการนับถือศาสนาพุทธมาตั้งแต่อดีต การยกศาสนาอันมีเนื้อหาสอดคล้องกับกฎหมายมาช่วยจัดการหรือประชาสัมพันธ์จึงเป็นเรื่องหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นจิตสำนึกแบบเข้าถึงประชาชนได้โดยง่ายเท่านั้นเอง ในกรณีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มี "ความเมามาย" จากการดื่ม ซึ่งทุกศาสนาล้วนเห็นตรงกันถึงพิษภัยของความเมามาย ดังนั้นกฎหมายเรื่องนี้มีประโยชน์ต่อสังคมส่วนใหญ่ แต่ศาสนาพุทธมักถูกหยิบยกขึ้นมาเพราะคนส่วนใหญ่นับถือพุทธหรือมีความเข้าใจในบริบทพุทธมากที่สุด

หากมองในความเป็นจริง ศาสนาเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา ไม่มีความสำคัญ ไม่มีหน้าที่ใดๆ นอกเหนือจากการปิดบังและปกคลุมความเลวร้าย ความเห็นแก่ตัวของชนชั้นปกครองเท่านั้น ประโยชน์ที่ชนชั้นปกครองได้จากการใช้อำนาจนั้นแลกด้วยการสูญเสียความเสมอภาคและเสรีภาพในชีวิตของคนในสังคม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยังคงถูกผลิตซ้ำๆเกิดขึ้นเป็นวงจรอยู่ภายในสังคม และไม่มีท่าทีที่จะหายไปได้เลย

ขณะเดียวยังคงมีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในโรงแรมหรู ระดับ 5 ดาว ที่มีแต่เฉพาะคนชนชั้นสูง หรือพวกชนชั้นนายทุนเท่านั้นที่สามารถจะเข้าพักและใช้บริการได้ ซึ่งดูเหมือนว่าจะขัดกับ พรบ.นี้ ที่ยังคงมีช่องโหว่อยู่ แสดงให้เห็นถึงการได้รับผลจาก พรบ. ที่ไม่เท่าเทียมกันของชนชั้น ที่ชนชั้นนายทุนได้รับข้อยกเว้นไม่ได้รับผลกระทบจาก พรบ. ยังคงซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้ตามปกติ คือการที่รัฐเอื้อผลประโยชน์ให้กับชนชั้นเดียวกัน และใช้ พรบ. ในการกดขี่สิทธิของคนชนชั้นล่าง และชนชั้นกลาง ในสังคม นี่แหละที่แสดงให้เห็นว่าชนชั้นสูงใช้รัฐเป็นเครื่องมือหรือกลไกในการกดขี่ทางชนชั้น ตามความคิดของมาร์ก ทั้งๆที่การซื้อหรือดื่มเป็นสิทธิของทุกคนในสังคม ไม่ได้หมายความว่าการดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ถูก แต่ก็ขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละคน

สรุป

 การห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาถือเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของรัฐที่พยายามควบคุมคนในรัฐโดยการใช้กฎหมายบังคับ เพื่อให้เกิดความสงบสุข นอกจากนี้ยังมีประเด็นเกี่ยวกับการกีดกันทางศาสนาทั้งด้านทางตรงและทางอ้อม 

ดังนั้นเมื่อรัฐไทยเป็นรัฐที่มีความหลากหลายทางศาสนาแต่มีกฎหมายบังคับใช้ อาจมองว่า “ศาสนา” เป็นเครื่องมือรัฐที่ใช้ควบคุมประชาชนผู้นับถือจำนวนมากในรัฐ เพื่อให้เกิดความสอดคล้องต่อความต้องการของรัฐ โดยที่รัฐไม่ได้สนใจศาสนาอื่นหรือผู้ที่ไม่นับถือศาสนา เช่น นักดนตรีที่เล่นในผับ เล่นดนตรีทุกวันแล้วหยุดเล่นในวันสำคัญทางศาสนา ทำให้นักดนตรีอาจขาดรายได้ที่ไปจุนเจือครอบครัว เป็นต้น แต่ในความเป็นจริงรัฐไทยมีความย้อนแย้งในตัวบทกฎหมายเองทั้งเรื่องโสเภณี ยาเสพติด คนชายขอบที่ยังไม่มีความชัดเจน แต่รัฐให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องศาสนาเช่นนี้ อาจแปลได้ว่ารัฐได้ใช้ศาสนาเข้ามาควบคุมประชาชน เพียงเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยภายในรัฐ?



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น